สกุลสิงโต (Bulbophyllum) |
|
|

สิงโตเครายาว
Bulbophyllum longissimum
(Photo ref. from Internet) |
กล้วยไม้สกุลบัลโบฟิลลัมหรือในภาษาไทยเรียกอีกอย่างว่าสิงโตหรือสิงโตกลอกตา หรืออาจใช้คำว่าสิงโตนำหน้าคำอื่นๆ ซึ่งเรียกตามลักษณะของดอกหรือช่อดอก เช่น สิงโตรวงข้าว สิงโตก้ามปูแดง สิงโตโคมไฟ เป็นต้น กล้วยไม้สกุล Bulbophyllum ตั้งชื่อสกุลโดย Aubert du Petit Thouars ในปี 1822 |
|
ชื่อสกุล Bulbophyllum มาจากภาษาลาตินคือ bulbus แปลว่า หัว และคำว่า phyllon ซึ่งแปลว่าใบ รวมความแล้วหมายถึง พืชที่มีใบติดอยู่ด้านบนของหัว กล้วยไม้สกุลนี้ในธรรมชาติค้นพบแล้วกว่า 2,000 ชนิด และยังมีอีกหลายชนิดที่ยังไม่สามารถจำแนกชื่อวิทยาศาสตร์ได้ชัดเจน กระจายพันธุ์อยู่ในป่าของทวีปแอฟริกา เอเชีย ออสเตรเลีย และอเมริกา พบในประเทศไทยแล้วกว่า 140 ชนิด ส่วนใหญ่เป็นกล้วยไม้ประเภทอิงอาศัย (Epiphytic orchid) บางชนิดก็พบขึ้นตามก้อนหินที่มีซากอินทรีย์วัตถุทับถมอยู่ (Lithophytic orchid) |
|

สิงโตสมอหิน Bulbophyllum blepharites
(Photo from member by addy) |

สิงโตรวงข้าว Bulbophyllum crassipes |
|
|

สิงโตพู่รัศมี
Bulbophyllum gracillinum |
|

สิงโตลินด์เลย์
Bulbophyllum lindleyanum |
|

สิงโตนักกล้าม
Bulbophyllum lasiochilum |
|
ลักษณะของกล้วยไม้ในสกุลนี้ต้นจะค่อนข้างเล็ก เจริญเติบโตแบบแตกกอ มีเหง้า (rhizome) ทอดไปตามพื้นเพื่อยึดเกาะ ส่วนหัวหรือลำลูกกล้วยเจริญอยู่บนเหง้า ในหัวหนึ่งจะมี 1-2 ใบ มีทั้งชนิดที่ทิ้งใบและชนิดที่ใบมีอายุยืนนาน ช่อดอกจะเกิดจากเหง้าหรือโคนของหัว ช่อดอกอาจมีดอกเดียวหรือหลายดอก ลักษณะของกลีบเลี้ยงคู่ข้างมีขอบกลีบแยกหรือแนบชิดกัน และมีขนาดยาวหรือใหญ่กว่ากลีบดอก กลีบปากยึดติดกับปลายฐานของเส้าเกสร ทำให้กลีบปากเคลื่อนไหวได้ มีอับเรณู 2 คู่ เส้าเกสรสั้น |
|
กล้วยไม้อีกสกุลหนึ่งคือ Cirrhopetalum ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับสกุล Bulbophyllum ในบางตำราก็แยกออกไปจากสกุล Bulbophyllum เนื่องจากลักษณะพิเศษของสกุล Cirrhopetalum คือ กลีบเลี้ยงคู่ข้างบิดตัวจนขอบนอกของกลีบมาเชื่อมติดกันและดอกในช่อก็เกิดที่ปลายก้ายช่อ เรียงตัวกันคล้ายใบพัดหรือวงกลม เช่น สิงโตร่ม (Cirrhopetalum auratum), สิงโตพัดแดง (Cirrhopetalum lepidum) เป็นต้น ทำให้กล้วยไม้ในกลุ่มนี้อาจเห็นชื่อสกุลพ้องกันได้ |
|

สิงโตร่มแดง Cirrhopetalum curtisii |

สิงโตร่ม Cirrhopetalum auratum |
|